ห้องข่าวนักลงทุนสัมพันธ์

ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ทำกำไรสุทธิไตรมาสที่ 2 ปี 2559 เพิ่มสูงขึ้น 16.9% ยอดขายรวมทำลายสถิติสูงเป็นประวัติการณ์

<< กลับ 08 สิงหาคม 2559

  • กำไรสุทธิ 2Q16 รวมทั้งสิ้น 1,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% จากปีก่อน
  • ยอดขาย 2Q16 รวมทั้งสิ้น 34,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% จากปีก่อน
  • กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) 32 ล้านบาท
  • อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น

8 สิงหาคม 2559 - กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือทียู รายงานผลกำไรสุทธิประจำไตรมาสที่ 2/2559 สูงถึง 1,527 ล้านบาท เติบโต 16.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากยอดขายที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ยอดขายรวมของกลุ่มบริษัทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 34,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาสที่ 2/2559 รายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation and Amortization: EBITDA) รวมทั้งสิ้น 3,181 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 11.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง เป็นผลมาจากการชำระหนี้อย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ผลกำไรจากการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 2,062 ล้านบาท ลดลง 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 4.5% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15.8% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากระดับ 16.9% ในไตรมาส 2/2558 เป็นผลมาจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจปลาแซลมอนและกุ้ง

ยอดขายของบริษัทในสหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญ ที่ช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัท โดยมีสัดส่วนถึง 38.6 % ของยอดขายทั้งหมดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 สำหรับตลาดประเทศไทยมีสัดส่วน 7.9% ของยอดขายรวม ในขณะที่ตลาดสหภาพยุโรปมีสัดส่วนถึง 34.1% ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจากเดิม 29.4% ของยอดขายทั้งปี 2558 ส่วนยอดขายในประเทศญี่ปุ่นมีสัดส่วน 6.1% ของยอดขายรวมในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559

ทางด้านนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ในไตรมาสนี้ บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท และการบริหารเงินทุนได้ผลจริง อีกทั้งสามารถสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นได้แม้ในสภาวะตลาดวัตถุดิบที่เต็มไปด้วยความท้าทายและสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบากในหลายตลาดทั่วโลก”

สัดส่วนยอดขายจากผลิตภัณฑ์แบรนด์ของไทยยูเนี่ยนเองยังคงที่อยู่ที่ระดับ 43% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 โดยสัดส่วนยอดขายที่เหลือมาจากสินค้ารับจ้างผลิต ยอดขายมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท รูเก้นฟิช (Rugen Fisch) ในประเทศเยอรมนี และการที่ราคาวัตถุดิบปลาทูน่าพันธุ์สกิปแจ๊ค (skipjack) และปลาแซลมอนที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ และสกุลเงินยูโร ยังเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของยอดขายให้เข้มแข็งขึ้น