บทวิเคราะห์ธุรกิจประจำปี

ภาพรวม

ปี 2567 ถือเป็นปีที่ท้าทาย มีการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของโลกคาดว่าจะเติบโตที่ 3.2% ในปี 2567 ซึ่งหดตัวเล็กน้อยจาก 3.3% ในปี 2566 โดยมีปัจจัยที่กดดันหลัก ได้แก่ ความตึงเครียดจากสงครามการค้า, ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน, ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งในสหรัฐฯ, การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) ยังคงเฝ้าติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อธุรกิจของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทสามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงทีตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด ความสามารถในการปรับตัวและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความเป็นผู้นำของตลาด และการเตรียมความพร้อมสำหรับความสำเร็จในอนาคต ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่งของเศรษฐกิจโลก

ไทยยูเนี่ยนรายงานยอดขายในปี 2567 กลับมาเติบโต โดยทำสถิติรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา พร้อมด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% รวมถึง EBITDA สูงสุดเป็นอันดับ 2 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจ

  • บริษัทฯ รายงานยอดขายที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน เป็นผลจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า
  • อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5%
  • EBITDA สูงขึ้น 8.6% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 13,361 ล้านบาท สะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
  • กำไรสุทธิอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.08 บาท เพิ่มขึ้น 7.2% และ 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ ทั้งนี้ หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท
  • กระแสเงินสดอิสระของบริษัทฯ อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องสูง พร้อมรองรับการลงทุนในอนาคต และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้งบฐานะทางการเงิน

ภาพรวมธุรกิจ แยกโดยกลุ่มธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป

ในปี 2567 ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7.1% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น 11.1% จากปีก่อน ทั้งจากธุรกิจรับจ้างผลิตและธุรกิจแบรนด์ นอกจากนี้ ยอดขายในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และตะวันออกกลางปรับตัวดีขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากความต้องการซื้อที่สูงขึ้นและกลยุทธ์ส่งเสริมการขายของบริษัทฯ อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 19.1% และปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี อีกทั้งบริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากสินค้าคงเหลือที่มีต้นทุนต่ำ เนื่องจากเราจัดซื้อปลาทูน่าในช่วงที่ราคาต่ำไว้เป็นจำนวนมาก

กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง แช่เย็น และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

ยอดขายของงธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งลดลง 10.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความท้าทายในทุกธุรกิจย่อย ยกเว้นธุรกิจแซลมอนแช่เย็นและธุรกิจอาหารสัตว์ ส่วนใหญ่เป็นผลจากสภาวะที่ท้าทายของตลาดสหรัฐอเมริกา รวมถึงความต้องการซื้อที่ชะลอตัวลง และการทำกลยุทธ์ยกเลิกการขายผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรต่ำหรือไม่มีกำไรในตลาดสหรัฐอเมริกาที่ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ปริมาณขายลดลงเล็กน้อย 0.1% จากปีก่อน สะท้อนถึงความต้องการสินค้าอาหารทะเลที่ชะลอตัวลง ทั้งจากผู้ซื้อรายย่อยและธุรกิจบริการจัดหาวัตถุดิบอาหารในสหรัฐอเมริกาและยุโรป อย่างไรก็ตาม ความท้าทายนี้ได้ถูกชดเชยบางส่วนด้วยการเติบโตของปริมาณขายในธุรกิจแซลมอนแช่เย็นและธุรกิจอาหารสัตว์ อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามคาด มาอยู่ที่ 11.7% ในปี 2567

กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

ยอดขายของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น 15.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตนี้มีสาเหตุจากสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ปี 2567 อยู่ที่ 54.7% เทียบกับปี 2566 อยู่ที่ 48.6%) การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในสหรัฐอเมริกา และความต้องการที่สูงขึ้นในยุโรปและออสเตรเลีย อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 28.5% และสูงกว่าเป้าหมายทั้งปีที่ระดับ 26–28% ในปี 2567

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า และอื่นๆ

ยอดขายของธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า เพิ่มขึ้น 5.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่จากธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ธุรกิจส่วนประกอบอาหาร และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นและราคาขายก็เพิ่มสูงขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นยังคงอยู่ในระดับที่ดีที่ 26.1% ลดลง 1.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน



ภาพรวมธุรกิจ แยกตามภูมิภาค

ในปี 2567 ยอดขายเพิ่มขึ้น 1.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่จากตลาดยุโรป ตะวันออกกลาง และตลาดเกิดใหม่ ซึ่งบางส่วนถูกชดเชยด้วยการลดลงของยอดขายในสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดายังคงเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีสัดส่วน 39.4% ของยอดขายรวม ตามมาด้วยตลาดยุโรป ซึ่งมีสัดส่วน 30.0% ของยอดขายรวม สำหรับประเทศไทยมีสัดส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 11.0% ของยอดขายรวม โดยยอดขายที่ลดลงเป็นผลจากความต้องการซื้อที่ลดลงในทุกกลุ่มธุรกิจ ในขณะที่สัดส่วนยอดขายในตลาดเกิดใหม่และภูมิภาคอื่น ๆ รวมกันอยู่ที่ 19.6% ของยอดขายรวม

สกุลเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปอนด์สเตอร์ลิง (เฉลี่ยที่ 45.09 บาทต่อปอนด์สเตอร์ลิง เพิ่มขึ้น 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน), ยูโร (เฉลี่ยที่ 38.18 บาทต่อยูโร เพิ่มขึ้น 1.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) และเหรียญสหรัฐ (เฉลี่ยที่ 35.29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน)

ยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดาลดลง 1.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และความต้องการซื้อที่ลดลงในธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นในสหรัฐอเมริกา (ลดลง 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) อย่างไรก็ดี ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายเพิ่มขึ้น 12.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าเพิ่มขึ้น 14.0% และ 47.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ

ยอดขายในตลาดยุโรปเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ และปริมาณขายเพิ่มขึ้น 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ยอดขายจากประเทศไทยลดลง 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ยอดขายในตลาดเกิดใหม่และภูมิภาคอื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 16.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออกกลาง

อัตราส่วนทางการเงิน

อัตราส่วนทางการเงิน 2565 2566 2567
อัตราส่วนสภาพคล่อง      
อัตราส่วนสภาพคล่อง (เท่า) 2.38 1.70 1.57
อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว (เท่า) 0.83 0.64 0.64
Leverage Ratios      
อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า) 1.07 1.51 1.75
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า)** 0.68 1.03 1.22
อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า)** 0.54 0.78 0.94
อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (เท่า) 4.29 3.00**** 3.61
อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน      
อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์ (เท่า) 0.89 0.78 0.86
อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (เท่า) 2.59 2.19 2.40
อัตราส่วนการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า (เท่า) 11.50 9.77 10.09
อัตราส่วนการหมุนเวียนของเจ้าหนี้การค้า (เท่า) 9.90 9.23 10.02
จำนวนวันหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (วัน) 139 164 150
จำนวนวันหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า (วัน) 31 37 36
จำนวนวันหมุนเวียนของเจ้าหนี้การค้า (วัน) 36 39 36
อัตราส่วนแสดงความสามารถในการทำกำไร      
อัตรากำไรขั้นต้น (ร้อยละ) 17.5 17.1 18.5
อัตรากำไร EBITDA (ร้อยละ) 8.3 8.2**** 9.7
อัตรากำไรสุทธิ (ร้อยละ) 4.6 3.3**** 3.6
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ร้อยละ) 11.1 7.1**** 9.8
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ร้อยละ)** 4.9 4.0**** 5.6
อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเฉลี่ย 6.8 5.6**** 8.4
ข้อมูลต่อหุ้น      
กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติต่อหุ้น (บาท) 1.47 0.93**** 1.08
เงินปันผลต่อหุ้น (บาท) 0.84 0.54 0.66
มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น (บาท)*** 17.32 13.16 11.43
* หนี้สิน คือ หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเท่านั้น
** อัตราผลตอบแทนจากทรัพย์สิน คือ กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี / สินทรัพย์รวมเฉลี่ย
*** มูลค่าตามบัญชี = รวมส่วนของผู้ถือหุ้น / (จำนวนหุ้นที่จดทะเบียนและชำระแล้ว - จำนวนหุ้นซื้อคืน)
**** อัตราส่วนการทำกำไรคำนวณโดยอ้างอิงตัวเลขตามผลการดำเนินงานปกติ นั่นคือไม่รวมการด้อยค่าที่ไม่ใช่รายการเงินสดครั้งเดียวของ Red Lobster จำนวน 18.4 พันล้านบาท ในไตรมาสที่ 4/2566 และปี 2566 และก่อนการจัดประเภทตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 5

บทวิเคราะห์งบการเงิน

ในปี 2567 บริษัทฯ มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา อยู่ที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า นอกจากนี้ ปริมาณขายรวมทั้งหมดเติบโตขึ้น 4.6% จากปีก่อน เนื่องจากความต้องการซื้อที่สูงขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25,624 ล้านบาท ลดลง 10.3% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนี่ยนยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% เพิ่มขึ้น 1.4% จากปีก่อน

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) อยู่ที่ 18,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7% จากปีก่อน การเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลจาก transformation costs ค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูงขึ้นตามกลยุทธ์ของไทยยูเนี่ยนในการเสริมสร้างการรับรู้แบรนด์ และค่าใช้จ่ายขนส่งที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณขายที่สูงขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายอยู่ที่ 13.3% เพิ่มขึ้นจาก 12.0% ในปี 2566 หากไม่รวม transformation costs ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะอยู่ที่ 12.8%

กำไรจากการดำเนินงาน อยู่ที่ 7,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% จาก 6,853 ล้านบาทในปี 2566 แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้นในปีนี้ โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานในปี 2567 คิดเป็น 5.2% เพิ่มขึ้นจาก 5.0% ในปี 2566

กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) อยู่ที่ 37 ล้านบาทในปี 2567 เทียบกับขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 236 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งสะท้อนถึงการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่มีประสิทธิภาพ

รายได้อื่นๆ อยู่ที่ 1,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จาก 838 ล้านบาทในปี 2566

ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า อยู่ที่ 771 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.5% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นส่วนแบ่งกำไรจาก Avanti Group และ Lucky Union แม้ว่าบริษัทฯ ได้หยุดรับรู้กำไรจาก LDH จากการถอนการลงทุนตั้งแต่ต้นปี

ต้นทุนทางการเงิน ในปี 2567 อยู่ที่ 2,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3% จาก 2,302 ล้านบาทในปี 2566 การเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่สูงขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567

ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ อยู่ที่ 430 ล้านบาทในปี 2567 เมื่อเทียบกับเครดิตภาษีเงินได้จำนวน 620 ล้านบาทในปี 2566 เนื่องจากบริษัทไม่ได้รับประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน Red Lobster ในไตรมาส 4 ปี 2566

กำไรสุทธิ ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากปีก่อน เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงในปี 2566 ซึ่งไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับ Red Lobster ได้แก่ ส่วนแบ่งขาดทุน รายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว และรายได้ภาษีเงินได้จาก Red Lobster

ดูเพิ่มเติม

บทวิเคราะห์ฐานะทางการเงิน

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ รายงานสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 154,912 ล้านบาท ลดลง 10,538 ล้านบาท หรือ 6.4% จาก 165,450 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 การลดลงส่วนใหญ่มาจากการลดลงของ 1) สินค้าคงเหลือสุทธิ จำนวน 6,856 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากการบริหารสินค้าคงเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ และราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะราคาปลาทูน่าท้องแถบ (Skipjack tuna) ที่ลดลง 19.4% จากปีก่อน 2) ค่าความนิยมสุทธิและสินทรัพย์ไม่มีตัวตนสุทธิอื่นๆ จำนวน 2,152 ล้านบาท 3) เงินลงทุนสุทธิ จำนวน 1,550 ล้านบาท 4) เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด จำนวน 963 ล้านบาท และ 5) สินทรัพย์ถาวร จำนวน 760 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การลดลงนี้ถูกชดเชยบางส่วนด้วยการเพิ่มขึ้นของ 6) ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่นสุทธิ จำนวน 845 ล้านบาท และ 7) สินทรัพย์สัญญาอนุพันธ์ จำนวน 750 ล้านบาท

หนี้สินรวม อยู่ที่ 98,600 ล้านบาท ลดลง 833 ล้านบาท หรือ 0.8% จาก 99,433 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 การลดลงส่วนใหญ่มาจากการลดลงของ 1) ส่วนของหุ้นกู้ที่จะถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี จำนวน 19,619 ล้านบาท 2) เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน จำนวน 13,142 ล้านบาท 3) หนี้สินสัญญาอนุพันธ์ จำนวน 867 ล้านบาท 4) หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี จำนวน 405 ล้านบาท และ 5) เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่นสุทธิ จำนวน 276 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การลดลงนี้ถูกชดเชยบางส่วนด้วยการเพิ่มขึ้นของ 6) หุ้นกู้ จำนวน 12,559 ล้านบาท 7) ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินที่จะถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีสุทธิ จำนวน 12,553 ล้านบาท และ 8) เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน จำนวน 8,404 ล้านบาท

ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม อยู่ที่ 56,313 ล้านบาท ลดลง 9,705 ล้านบาท หรือ 14.7% จาก 66,017 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ส่วนใหญ่มาจาก 1) การไถ่ถอนหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุน จำนวน 5,950 ล้านบาท 2) องค์ประกอบอื่นของส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 3,204 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการแปลงอัตราแลกเปลี่ยน 3) กำไรสะสม จำนวน 786 ล้านบาท และ 4) ทุนที่ออกและชำระแล้ว จำนวน 50 ล้านบาท เป็นผลจากการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืนและยังมิได้จำหน่ายจากโครงการซื้อหุ้นคืนที่บริษัทฯ ได้ทำขึ้นในปี 2566 จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท

บทวิเคราะห์กระแสเงินสด

สำหรับงวดปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน อยู่ที่ 14,525 ล้านบาท เป็นผลจากกระแสเงินสดอิสระ (free cash flow) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11,705 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของ EBITDA เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุน อยู่ที่ 6,562 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากเงินสดจ่ายจากเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 6,194 ล้านบาท และการซื้อที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนจำนวน 3,557 ล้านบาท ซึ่งถูกชดเชยบางส่วนด้วยเงินสดรับเพื่อซื้อเงินลงทุนในตราสารหนี้จำนวน 1,760 ล้านบาท และเงินสดรับจากการจำหน่ายเงินลงทุนระยะยาวอื่นจำนวน 912 ล้านบาท เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินอยู่ที่ 13,854 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากเงินสดจ่ายคืนหุ้นกู้จำนวน 7,050 ล้านบาท เงินสดจ่ายเพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000 ล้านบาท เงินสดจ่ายสุทธิ เพื่อชำระหุ้นทุนซื้อคืนจำนวน 2,982 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงินอื่นจำนวน 2,406 ล้านบาท และเงินปันผลจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นเจ้าของบริษัทใหญ่จำนวน 2,389 ล้านบาท ซึ่งถูกชดเชยบางส่วนด้วยเงินสดรับสุทธิจากเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินจำนวน 8,668 ล้านบาท

เป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568

  • บริษัทฯ คาดว่ายอดขายจะเติบโต 3-4% จากปีก่อน จากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้อาจถูกชดเชยบางส่วนด้วยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทฯ คาดการณ์ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ
  • อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะสอดคล้องกับการเติบโตของยอดขาย ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็นผลจาก transformation costs และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่มุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์
  • สุดท้ายนี้ บริษัทฯ คาดว่างบลงทุน (CAPEX) จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการขยายระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง
เป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568
ยอดขาย เพิ่มขึ้น 3 – 4% จากปีก่อน
อัตรากำไรขั้นต้น ~18.5 – 19.5%
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย 13.0 – 13.5%
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ไม่มีเปลี่ยนแปลง
งบลงทุน ~ 4.5 – 5.0 พันล้านบาท
นโยบายเงินปันผล ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
หมายเหตุ:
  • เป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 ของบริษัทฯ ตั้งขึ้นจากการคาดการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ หากปัจจัยหลักที่กระทบการดำเนินงานมีการเปลี่ยนแปลงไปจากข้อสมมติฐานที่บริษัทฯ ใช้ในการประมาณการ
  • สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 33.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยหากอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลง 1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ บริษัทฯ คาดว่าจะมีผลกระทบต่่อยอดขายประมาณ 0.8 - 0.9%